นางงาม สุดมั่นที่มีกระแสวิพากวิจารณ์มาตลอด ตั้งแต่เข้าประกวดเวทีระดับโลก ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น หน้าสวย โพสเป๊ะ ผมเริ่ด ขาเรียว บวกกับนิสัยความแรงของเธอ ทำให้เธอเป็นที่สนใจของชาวไทยและชาวต่างชาติ แม้จะไม่ได้ไปถึงรอบ 15 คนสุดท้าย แต่เธอก็คว้ารางวัลใหญ่มาได้ถึง 2 รางวัล นั่นคือรางวัลขวัญใจช่างภาพ ( Miss Photogenic ) และชุดประจำชาติ (National Costume) พ่วงด้วยรางวัล Miss People's Choice Award ที่ได้มาจากคะแนนโหวตของนักท่องอินเตอร์เน็ตทั่วโลก
วันนี้มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สสุดฮอตประจำปี 2010
ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล จะมาตอบประเด็นคำถามถึงความแรง และภาพหลุดที่ใครต่อใครกล่าวขวัญ อีกทั้งเรื่องที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เธอคือนางงามโบท็อกซ์ตัวจริง
เปลี่ยนลุคสร้างความต่าง
ด้วยคาแร็กเตอร์ที่แตก ต่างของเธอ ตอนประกวดที่ไทย เธอดูเป็นผู้หญิงไทยที่มีบุคลิกเรียบร้อย งามสง่า แต่พอไปถึงเวทีต่างประเทศเธอก็ปรับเปลี่ยนบุคลิกของเธอเป็นสาวมั่น ทำให้หลายคนให้ความสนใจ
“การที่เราสวมมงกุฎทำให้ เราต้องดูน่าเชื่อถือ ดูงดงาม เราก็ต้องทำหน้าที่ให้เหมาะสม กับสิ่งที่เราได้รับมาให้ดีที่สุด ความจริงเราก็เป็นตัวเองตั้งแต่อยู่ประเทศไทยแล้ว คนที่อยู่รอบข้างจะรู้ดีว่าเราเป็นคนขำๆ พอถอดมงกุฎปั๊บอยู่หลังห้องก็จะเป็นตัวเรา เฮฮา สนุกสนาน
แต่เมื่อไปอยู่ต่างประเทศก็คิดว่า สิ่งที่เราไม่ได้ทำในประเทศไทย คือไม่ได้ทำให้ผู้สื่อข่าว หรือใครๆ เห็น ตอนอยู่หลังเวทีเป็นอย่างไร เราก็แค่ใช้ตัวเราที่อยู่หลังเวที มาอยู่บนเวทีของมิสยูนิเวิร์ส
เราอยากสร้างสิ่งที่ทำให้คนจดจำเรา ตอนแรกคนจะมองว่าเอเชียแล้วยังไง ไม่ค่อยเป็นที่สนใจ แต่เราพยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ จนเพื่อนๆ ยอมรับตัวเรา และยอมรับในรางวัลที่เราได้รับ โดยไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเราพยายามทำทุกวันให้คนจดจำเราได้ พยายามเป็นที่แตกต่าง ตั้งปณิธานไว้ว่าเราจะไม่วิ่งตามสื่อ แต่เราจะทำให้สื่อวิ่งตามเรา”
นางงามโบท็อกซ์
ประเด็นที่คนสนใจและพูดถึงกันมากเกี่ยวกับเธอ คือรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป ดูสวยขึ้นจนโดนทักว่าเป็นนางงามโบท็อกซ์
“อันนี้เข้าใจ เป็นประเด็นที่เพื่อนใกล้ตัวก็ยังทัก เฮ้ย เจอกันทุกวัน แต่ทำไมเปลี่ยนแปลงขึ้น ถ้าไปหาหมอศัลยกรรมก็ต้องพักฟื้นสิ เราคิดว่าเราทำงานแข่งกับเวลา 3-4 เดือน การที่เราเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้ก็เพื่อคนไทยทั้งประเทศ อยากให้ดูที่ผลงานมากกว่ามองว่าเราไปทำอะไรหรือเปล่า อยากให้มองว่าเราสวย และเสียงตอบรับมาว่ามิสไทยแลนด์สวย อาจจะสวยเร็วไปหน่อย ก็ขอโทษแล้วกัน” (หัวเราะเสียงดังสไตล์ปุ๊กลุก)
ความแรงในเฟซบุ๊ก
ส่วนเรื่องภาพหลุดโพสท่าแบบฉีกแข้งฉีกขา และการตอบในเฟซบุ๊กว่า “จะแรงจะเบาก็นี่แหละตัวฉัน แรงแบบนี้มาตั้งแต่เกิด” เธอยอมรับว่าเสียใจถ้าคนจะมองว่าไม่ดี และรู้สึกน้อยใจเพราะเป็นการถ่ายรูปเล่นสนุกๆ กับเพื่อน ไม่คิดว่ามีกระแสวิจารณ์ขนาดนั้น
“คือเราเป็นคนเฮฮากับเพื่อน ภาพนั้นก็เป็นงานแรกที่เรามีโอกาสได้คุยกับเพื่อน แล้วก็ถ่ายรูปเล่นกัน ไม่คิดว่าเพื่อนจะเอามาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก แต่ถ้ากล้องนักข่าวหรือสื่อมวลชนท้องถิ่นมาถ่าย จะไม่มีภาพหลุดแบบนั้นเด็ดขาด เพราะว่ายังไงก็ยังสำนึกเสมอ ว่าตัวเองเป็นคนไทย แต่ภาพนั้นถ้าทำให้คนไทยหลายคนรูสึกไม่ดีก็ต้องขอโทษตรงนี้ด้วยค่ะ
เรื่องกระแสวิจารณ์เราในเมืองไทยก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน ก็น้อยใจ เราเป็นคนแบบนี้ เราทำเต็มที่เพื่อประเทศไทย คืออยากให้คนมีความสุข เราก็ไม่คิดว่าจะมีภาพหลุดแบบนี้ออกมา ก็นึกในใจว่าน่าจะให้กำลังใจเรานะ เพราะเรามาในฐานะตัวแทนของไทย แต่มาต่อว่า คิดว่าเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งที่ความจริง เราก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่าอยากให้ ให้กำลังใจกันมากกว่า”
สร้างความมั่นใจแบบฝนทิพย์
เคล็ดลับที่ทำให้ปุ๊กลุกมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกอย่างโดดเด่นบนเวที ก็คือการนั่งสมาธิและขอพรพระ
“ตอนขึ้นเวทีต้องบิลด์อารมณ์มาก มีแรงกดดัน คนนู้นก็ชุดสวย คนนี้ก็ชุดสวย มันทำให้เราคิดว่า จะทำยังไงดี แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำก่อนขึ้นเวทีคือนั่งสมาธิ แต่งหน้าทำผมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ คนอื่นจะช้า นั่งแจกลายเซ็นกัน แต่ฝนทิพย์ไปนั่งอยู่มุมหนึ่งในห้องแต่งตัว เอาพระมาด้วยองค์หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วก็นึกถึงว่าจุดมุ่งหมายของเราคืออะไร สิ่งที่เราทำทุกวันนี้ทำเพื่ออะไร คิดถึงในหลวง ตอนนี้ในหลวงประชวร เราทำเพื่อในหลวง คิดรวมไปถึงเศรษฐกิจของเราต้องดีขึ้น
นึกถึงหลายคนที่เขารอดูความสำเร็จของเราอยู่เราต้องทำให้ได้ นึกถึงจุดมุ่งหมายที่เราจะก้าวไป เพราะฉะนั้นขึ้นเวทีเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่ที่สุด
มีขอพรพระว่าลูกอยู่ต่างถิ่น ขอให้มาช่วยลูกด้วยนะ เราทำเพื่อประเทศไทย ชื่อเสียงประเทศไทยอยู่ในมือของลูกช้าง ลูกช้างจะทำให้ดีที่สุด ขอให้ดลบันดาลพลัง ให้ลูกสามารถทำทุกอย่างบนเวทีได้อย่างราบรื่น และขอให้มีชื่อประเทศไทยประกาศหลายๆ ครั้งๆ”
หลายคนคงจะเห็นว่ารูปแต่ละรูป ท่วงท่าการเดินแต่ละครั้งของเธอจะดูมีความมั่นใจและแตกต่าง ที่สำคัญเธอดูสวย โดดเด่นมาก
“เราทำการบ้านมาเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญคือแขม่วทุกรูป ต้องแขม่วนะ เพราะว่านางงามละตินเขาจะมีความสามารถในการแขม่ว เราจะจดจำเทคนิคต่างๆ ตอนอยู่ประเทศไทยเขาก็จะให้การบ้านมาว่า ตอนนี้ยังโพสไม่สวย ไปฝึกนะ ไปดู เบื้องหลังคือมีคนไทยช่วยกัน
ปุ๊กลุกเรียนการเต้นมาตั้งแต่เด็ก จนมาถึงเวทีนี้แหละที่ได้ใช้ทักษะการเต้น ตั้งแต่มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สแล้ว ก็ได้เต้นอยู่ตรงกลางเวที ไปจนถึงเวทีมิสยูนิเวิร์ส เราก็สามารถช่วงชิงที่จะอยู่ตรงกลางได้ คิดว่ายากนะ คนตั้ง 83 ประเทศ เขาต้องเลือก คัดแล้วคัดอีก ดูว่าใครเต้นได้ เต้นดี เราซ้อมเต็มที่ ใครจะว่าฉันแรงก็ไม่เป็นไร ก็ฉันทำเพื่อประเทศ ก็ฉันอยากอยู่ข้างหน้า อยากให้คนเห็นฉัน เราเป็นคนเดียวที่ได้อยู่กลุ่มเซ็นเตอร์สเตจทุกเพลง ทำให้ช่างกล้องก็จับภาพตรงเราได้ ได้เห็นไทยแลนด์ตลอด”
ความมั่นใจของเธออีก เรื่องหนึ่งก็คือการแต่งกาย เธอจะพยายามใส่ชุดไทย ในวันอื่นๆ ของการประกวด เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ให้ชาวต่างชาติเห็น
“ก็คิดไว้ว่าต้องมีสักวันที่เราต้องใส่ชุดไทย แต่ไม่ได้เตรียมชุดไทยสำหรับวันอื่นที่จะใส่ชุดไทย ก็เลยเอาผ้าถุง ปุ๊กลุกจะใส่เสื้อรักเธอประเทศไทยไว้ด้านนอก แล้วใส่ผ้าถุงเป็นชุดนอน ก็เลยเอาตัวที่ไม่ได้ใส่นอน เป็นผ้าถุงคุณยายจริงๆ ใส่แล้วก็เอาผ้าพันคอ มาทำเป็นตะแบงมาน พี่แจ๊ด (พี่เลี้ยงนางงาม) ก็ถามว่าเธอเอาจริงเหรอ เราก็บอกว่าเราต้องประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าชุดไทยสวย ก็ใส่ไป แล้วก็เกล้ามวยติดปิ่น พยายามเป็นไทยให้มากที่สุด ในวันหนึ่ง ผลตอบรับก็คือมีคนมาถามว่านี่ชุดของชาติยูเหรอ เราก็บอกว่าใช่ เป็นชุดสมัยก่อน”
ความฝันอยากเป็นนายกฯ หญิง
เคยประกาศไว้ว่าฝันอยาก เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย จึงสานฝันด้วยการเรียนกฎหมาย แต่พอหลังจากการประกวดเธอบอกว่าทำตามฝันคงจะยากแล้ว แต่ก็อยากใช้ความรู้ทางด้านกฎหมายที่เรียนมาช่วยเหลือสังคม
“เรื่องความฝันคิดว่าคงยากแล้วหละ (หัวเราะ) แต่ว่าก็ยังอยากทำงานด้านนี้ เหมือนเราเรียนนิติศาสตร์ เราก็อยากจะใช้ความรู้ที่เราเรียนมาไปช่วยเหลือผู้หญิงให้ได้สิทธิเท่าเทียม กับผู้ชาย ตอนนี้ก็อยากรณรงค์สิ่งที่เคยพูดไว้ คือในเรื่องของสิทธิสตรี อยากให้ผู้หญิงมีความสามารถเยอะๆ เทียบเท่ากับผู้ชาย โดยที่ไม่มีข้อกังขาว่าผู้หญิงไม่เหมาะสมกับหน้าที่
สำหรับคุณสมบัติของนายกหญิง ปุ๊กลุกมองว่าอย่างแรกต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าเรารักในสิ่งที่เราจะทำ รักที่จะพัฒนา จัดการดูแลประเทศไทย เมื่อความรักมาเมื่อไหร่ เราจะทำทุกอย่างอย่างมีความสุข และทำอย่างดีที่สุด”
ส่วนมุมมองของปุ๊กลุกที่มีต่อการเมืองไทย เธอบอกว่า “ครอบครัวเล็กๆ ก็ยังมีทะเลาะ เบาะแว้งกัน ครอบครัวใหญ่ก็เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วครอบครัวก็ยังเป็นครอบครัวต้องกลับมารักกันเหมือนเดิม เชื่อว่าตอนนี้คนไทยหลายคนมีความสุขขึ้น เรื่อยๆ คิดว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป จะกลับมารักกันเหมือนเดิม”
เพื่อนสนิทที่สุดคือมิสจาเมกา
สิ่งแรกที่เธอต้องทำเมื่อ ไปถึงกองประกวดระดับโลก คือการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนนางงามทั้ง 82 ประเทศ ซึ่งเธอพยายามที่เข้ากับเพื่อนให้ได้มากที่สุด โดยการสร้างความสุข และเสียงหัวเราะให้แก่กองประกวด เพราะนั่นจะทำให้เธอมีกำลังใจ และใช้ชีวิตอยู่ในกองประกวดได้อย่างมีความสุข
“ก็จะมีอุปสรรคในเรื่องของภาษาบ้าง เพราะภาษาอังกฤษเราไม่ได้พูดปร๋อเหมือนคนที่เขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ช่วงแรกก็จะมีฟังยากนิดหนึ่ง แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มชินหู เราก็ต้องเลือกคุยกับคนที่เขาพร้อมที่จะพูดช้าๆ เพื่อเรา”
เห็นเธอสนิทกับหลายชาติ แต่ไม่ค่อยจะเห็นเธออยู่กับกลุ่มเอเชีย เธอบอกว่าที่นู่นจะมีการแบ่งกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็จะได้เข้ากลุ่มกับ USA เดนมาร์ก แต่เธอบอกว่าเพื่อนที่สนิทที่สุดคือมิสจาเมกา
“เราชอบเข้าไปเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาว่าเป็นยังไง พยายามเก็บเกี่ยวความรู้มาให้มากที่สุดในประเทศที่เขาไกลจากเรา เหมือนเราคุยกันแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน อะไรที่แตกต่างกันเขาก็จะสอนตลอด ก็เลยคิดว่าคนนี้แหละที่เราจะอยู่ด้วยไปตลอดการประกวด
เขาเป็นคนจริงใจมาก บางคนพูดภาษาละตินมา เขาก็จะแปลให้ฟัง ถ้าเขาไม่จริงใจเขาคงไม่เสียเวลามานั่งแปลให้เราฟัง ว่าคนนู้นคนนี้พูดว่าอะไร เขาจะสอนคำตลกๆ ที่ประเทศเขาพูด มาแกล้งเรา ให้เราไปพูดกับคนที่รู้ภาษาเดียวกัน แล้วก็ขำกัน เขาเป็นคนผิวคล้ำที่ดูสง่า แล้วก็เหมาะสมแล้วที่เขาได้รับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ รองอันดับหนึ่งไป”
เมื่อถามว่าแอบเชียร์นางงามคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า เธอบอกว่าก็ต้องเชียร์เพื่อนสนิทตัวเองอยู่แล้ว “เชียร์จาเมกา ตอนที่รู้ว่ามิสจาเมกาได้เป็นรองมิสยูนิเวิร์ส ก็ตกใจนะ เพื่อนสนิทเรา ก่อนขึ้นเวทียังคุยกันเล่นๆ เลยว่า จะจับมือกันสามคนสุดท้ายนะ”
ไม่เพียงเธอจะสนิทกับเพื่อนนางงามเท่านั้น แต่ความสนุกสนานและความน่ารักของเธอ ยังเป็นที่รู้จักของบรรดาบอดีการ์ด ไปจนถึงคนครัว
“มีพี่บอดีการ์ดมาบอกเราว่าถ้าโหวตมิสบอดีการ์ดให้คุณได้ เราโหวตทั้งบอดีการ์ดเลยนะ เราก็ถามว่าทำไม เขาบอกว่า เราเห็นคุณบ้ามากเลย เราเห็นคุณไปที่ไหนคุณก็ไปหัวเราะดังๆ เราไม่เข้าใจว่าคุณหัวเราะทำไม แต่เรารู้สึกดีนะที่ได้เห็นคุณหัวเราะ
อยู่ที่โน่นคิดถึงอาหารไทยมาก มีคนไทยที่โรงแรมเขาเป็นคนทำกับข้าว เราก็ไปบอกพี่เขาให้ตำส้มตำให้ แต่วันที่เขาตำส้มตำให้ เราดันไม่สบาย เพราะวันนั้นไปทะเลทรายมาก็เลยไม่ได้ลงไปกินข้าว เขาก็ตามหาว่าไทยแลนด์อยู่ไหนจะเอาส้มตำให้ เราก็ลงไปไม่ได้ เขาก็เอาขึ้นมาไม่ได้ด้วยก็เลยอดกินส้มตำ แต่อาหารมื้ออื่นก็พยายามหาพริกป่นมาใส่”
ปุ๊กลุกเล่าว่าสิ่งที่เธอพยายามทำก็เพื่อนคนไทยทั้งหมดพยายามที่จะ ถ่ายทอดความสุข และความสนุกสนานให้แก่เพื่อนๆ ทุกคน ให้ได้รับรู้ว่า ถึง แม้ว่าประเทศเราจะมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ แต่วันนี้ประเทศเรามีความสุขมาก อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่าเธอสามารถทำให้ประเทศไทยได้มากที่สุด และก็เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
รางวัลแห่งความรักและสามัคคี
สำหรับ 2 รางวัลใหญ่ที่ได้รับ ขวัญใจช่างภาพ และชุดประจำชาติ เธอเปรียบรางวัลแรกคือความรัก และรางวัลที่ 2 คือความสามัคคี เพราะรู้สึกถึงคนไทยที่รักกันจริงๆ และส่งแรงใจแรงเชียร์ให้เธออย่างล้นหลาม
“2 รางวัลที่ได้รับก็วัดได้ว่าคนไทยรักกัน เพราะว่าเป็นการโหวตจากคนทั่วทั้งประเทศ และทั่วโลก แต่คิดว่าแรงโหวตที่สำคัญก็คือคนไทย ขอบคุณ 2 รางวัลที่คนไทยเอ็นดูและรักใคร่ปุ๊กลุก ตั้งแต่วันแรกที่ได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส จนถึงวันนี้ รางวัล 2 รางวัลนี้ไม่ใช่รางวัลของปุกลุ๊ก แต่เป็นรางวัลของคนไทยทั้งประเทศ”
เธอเล่าให้ฟังถึง 2 รางวัลใหญ่ที่ได้รับอย่างภาคภูมิใจว่า “รางวัลขวัญใจช่างภาพ ก็ เป็นการที่เราถ่ายรูป และภาพออกมาดี ตอนแรกมีแอบน้อยใจเพราะว่าประเทศอื่นจะเป็นภาพบอดีเพนต์ กับภาพที่ไปถ่ายบนแพ ทำไมรูปเรามีแต่กำแพง ธรรมดามาก เสียดาย แต่พอได้รับตำแหน่งก็คิดว่า คงเป็นเพราะภาพออกมาสวย และดูเป็นธรรมชาติ
ส่วนอีกรางวัลที่ภูมิใจมากคือ รางวัลชุดประจำชาติ เรา คิดว่าเป็นชุดไทยแบบผสมผสานความเป็นแฟชั่น เพราะว่าในต่างประเทศค่อนข้างมีแฟชั่นที่หลากหลาย ก็รู้สึกว่าดีใจ เวลาใส่แล้วภาคภูมิใจ ไปถึงวันแรกก็มีเพื่อนเข้ามาบอกว่าชอบชุดประจำชาติของไทยมาก เขาบอกว่า I love your national costume เราก็ถามว่าจริงเหรอ ยูได้เห็นด้วยเหรอ เขาก็บอกว่าเห็นในอินเทอร์เน็ต
วันที่ใส่ชุดประจำชาติเราติดขนตาเหมือนที่แถลงข่าวเลย เพื่อนก็จะทัก ยูแต่งหน้าเองเหรอ เราก็ชอบว่าใช่ เราเป็นช้างเราก็ต้องมีขนตาแบบช้างนะ (หัวเราะ) เขาก็ชมว่าสวยๆ”
สาวน้อยมหัศจรรย์
สำหรับสาววัย 20 ปี ที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยม เธอสามารถผ่านเข้าประกวดเวทีโลกอย่างนางงามจักรวาลได้ นับว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะเธอต้องฝ่าฝันอุปสรรคหลากหลายรูปแบบ เรียกได้ว่า เด็กในวัยเดียวกับเธอ ถ้าเจอแบบเธอคงร้องไห้ ไปแล้ว
“เราจะมาคิดไม่ได้ว่าเรายังเด็กนะ คิดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่สามารถพูดได้เลย เพราะฉะนั้น ในเมื่อตำแหน่งมันมากับหน้าที่ที่ต้องฝ่าฟัน เราต้องทำให้ดีที่สุด แต่สภาพจิตใจ เราก็เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ บางทีมีอุปสรรคมามากมายมันก็อาจจะน้อยใจมากกว่าคนที่เขาผ่านอะไรมาเยอะ เรื่องหน้าที่เราก็ทำเต็มที่เพื่อประเทศไทย”
ประวัติ
ชื่อเล่น: ปุ๊กลุก
ชื่อ สกุล: ฝนทิพย์ วัชรตระกูล
อายุ: 20
บิดา มารดา: นายวัชรพล และนางดาวทิพย์ วัชรตระกูล
พี่น้อง: ปางดาว วัชรตระกูล (พี่สาว)
สัดส่วน: 33-25-36
ส่วนสูง: 170 เซนติเมตร
น้ำหนัก: 52 กิโลกรัม
ตำแหน่ง: มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2553 และ ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน
การศึกษา: ปริญญาตรี ปี 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
จังหวัด: สมุทรปราการ
เปิดใจคุณแม่นางงาม
คุณแม่ ดาวทิพย์ วัชรตระกูล กำลังใจคนสำคัญของปุ๊กลุก ที่มีเวลาว่างเมื่อไหร่ต้องเล่นบีบี และคุย msn กับลูกสาว
“ช่วงที่ลูกสาวโดนกระแสวิจารณ์ แม่ไม่คิดว่ามีอะไร เพราะเขาอยู่ในกลุ่มผู้หญิงด้วยกัน แม่รู้ว่าลูกสาวมีนิสัยยังไง ถ้าเป็นแม่ แม่อาจจะแรงกว่านี้ (หัวเราะ) เอาให้วัยรุ่นอายเลยค่ะ แม่ก็จะให้กำลังใจลูกว่า พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เรื่องมันก็จะเบาลงไปเอง ไม่ต้องซีเรียส ถึงแม้จะมีคนไม่ชอบลูก กับภาพที่เห็น แต่ว่าคนให้กำลังใจหนาแน่นมากๆ รอความสำเร็จ รอการกลับมาในพื้นดินที่เกิด ก็ให้ภูมิใจในสิ่งที่ทำไป ทำดีที่สุดแล้ว เวลาว่างเราก็จะบีบีคุยกันค่ะ msn ด้วย
วันนี้ก็เตรียมอาหารโปรด ไว้ต้อนรับ ลูกเป็นคนชอบกินอาหารรสจัด ปลาร้า แกงใต้ แกงเหนือ อาหารป่าๆ กับน้ำพริกปลาร้า ก็ซื้อส้มตำปลาร้าไว้ไห้
ปุ๊กลุกเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร เวลารับอะไรมาเขาจะแยกออกว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อย่างเรื่องชุดตอนแรกแม่แนะนำว่าให้เขาใส่เสื้อคอกระเช้า ใส่อย่างนี้ฝรั่งคงจะชอบ จะเป็นจุดสนใจว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย แล้วก็เกล้าผม
วันประกวดรอบตัดสิน แม่ก็นั่งเชียร์ลูกอยู่ที่บ้านก็ภูมิใจในตัวเขา ตอนได้ยินไทยแลนด์ๆ 2 ครั้ง ขนลุกเลยค่ะ ปรบมือจนมือแตกเลยค่ะ กระโดดด้วย สุดตัวเลยค่ะ เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล
แม่เรียกเขาว่าสาวน้อยมหัศจรรย์ แม่เชื่อว่าเขาจะมหัศจรรย์กลับมา แม่อยากเรียกเขาแบบนี้เอง คิดว่ามันจะต้องมีอะไรเป็นแรงผลักดันให้ลูกทำดีที่สุด หนูจะต้องมหัศจรรย์นะลูก เอามาจากหนังสมัยก่อน ดังมาก สาวน้อยมหัศจรรย์ พอนึกอะไรก็จะได้ดั่งใจคิด”
'แจ๊ด' พี่เลี้ยงคนสำคัญของนางงาม
คนที่จะรู้จักตัวตนและมีส่วนสำคัญในการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพของปุ๊กลุกมากที่สุด คงหนีไม่พ้นพี่เลี้ยงนางงาม แจ๊ด-ประณม ภาวรเวช ผู้อำนวยการสถาบันการพัฒนาบุคลิกภาพ John Robert Power เธอเป็นพี่เลี้ยงมานานมาก ตั้งแต่สมัย อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับปุ๊กลุกที่สุด ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในกองประกวด
“แจ๊ดจะดูแลนางงาม 4 ประเทศ ไทย, มอริเซียส, สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมัน แจ๊ดเริ่มทำงานให้แก่บริษัทมิสยูนิเวอร์ส ตั้งแต่รุ่นคุณอรอนงค์
สิ่งที่บอกปุ๊กลุกเสมอก็คือ เป็นตัวของตัวเอง คนจะเห็นตัวตนของเขาว่าเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา เราก็ให้เขาใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ไป วันแรกๆ เขาก็จะเหงานิดๆ เพราะเขายังไม่รู้ว่าจะเข้ากับใครยังไง ต้องมาปรับเป็นพูดภาษาอังกฤษ ต้องใช้ชีวิตอีกสไตล์หนึ่งเลย ก็บอกเขาว่าง่ายนิดเดียว เราต้องไปหาเขาก่อน การจะรอให้เขาเข้ามาหาเรามันอาจจะไม่ได้ การที่เขาเป็นคนสนุก ก็ทำให้เขาเข้ากับอื่นได้ดี เราก็จะแนะนำเขาว่าอย่าไปคิดว่าคนอื่นคือคู่ต่อสู้ ต้องคิดว่าเขาคือเพื่อน เราก็จะมีความสุข พอเรามีความสุข เราก็จะไม่เกร็ง ก็จะทำอะไรได้ด้วยดี
เวลาที่เหนื่อยมากๆ เขาก็มีท้อเหมือนกัน ทุกคนก็มีเหมือนกันหมด เราก็จะให้กำลังใจเขาว่าเราต้องไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ที่เราตั้งเอาไว้ ก่อนเดินทางไปประกวดอาจารย์ที่ Robert Power สอนเขาเรื่อง The Top Secret ว่าคนเราต้องมีจิตมุ่งมั่น เขาก็บอกว่าอาจารย์สอนดีมาก ได้นำมาใช้ในเวทีนี้จริงๆ เรื่องจิตใจสำคัญมาก
สิ่งที่แจ๊ดมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ คือ นางงามทุกคนต้องแต่งหน้าทำผมเองเป็น ทุกครั้งก่อนออกจากห้องทุกเช้า ต้องสวย ต้องพร้อม เพราะว่าเราไม่รูว่าใครจะมาขอถ่ายรูปเราตอนไหน ข้อดีคือทำให้เราไม่เสียเวลา อีกอย่างช่างกองฯจะไม่รู้จักหน้าเราเท่าไหร่ ไม่รู้วิธีแก้ไข ถ้าเราแต่งหน้าเอง เราก็แก้ไขปรับปรุงหน้าเราได้ สิ่งที่ปุ๊กลุกทำได้ที่ผ่านมาจะมีไม่กี่คนที่ทำได้
การโพสท่าไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เราสอนมาทุกคน การเดินก็จะสอน วิธีเดินบนเวที จะดีไซน์ท่าเดินที่ทางเวทีต้องการอยู่แล้ว คือเดินไม่เหวี่ยง เดินให้ดูโก้ ดูเป็น Hi fashion เขาต้องการให้ทุกอย่างดูโก้ ดูเป็นเลดี้ ดูสง่า
แจ๊ดยอมรับว่าปีนี้ปุ๊ก ลุกเป็นนางงามที่โดดเด่นมาก เป็นเพราะมีเวลาเตรียมตัว เพราะปีก่อนๆ เวลาเตรียมตัวอาจจะมีไม่มาก แค่ 5-6 อาทิตย์ แต่ปุ๊กลุกมีเวลาถึง 4 เดือน เพราะ ฉะนั้นการฝึกซ้อม การดูเทปเก่าๆ ก็มีส่วนช่วยได้เยอะ การที่ท่าโพสของเขาออกมาโดดเด่นก็มาจากความตั้งใจของเขาด้วย เราอาจจะมีส่วนในการเติมให้เต็ม เขาเป็นคนที่มั่นมาก แต่เขาก็เป็นคนที่เปิดโอกาสให้คนติชมเขาแล้วเขาก็เอาไปปรับ ไปเติมให้เต็มต่อยอดอยู่ตลอดเวลา
เขาเหมือนเพื่อน เดินกอดคอกัน คุยกันสนุกสนาน มีความสุข อย่างน้อยประเทศอื่นเวลาลงเวทีมาก็ไม่มีใคร แต่ปุ๊กลุกมีแจ๊ด ยืนรออยู่แล้วก็กอดปุ๊กลุก เป็นกำลังใจให้ อย่างน้อยยังมีคนที่พูดภาษาเดียวกัน”
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
http://www.kodhit.com/hit